This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วิธีทําข้าวหมูแดง

0 ความคิดเห็น



วิธีทําข้าวหมูแดง




ข้าวหมูแดง เป็นอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมาก ด้วยความอร่อย ความสะดวกสบายในการรับประทาน มีข้าวนุ่มๆ หมูแดงนิ่มๆ และมีน้ำราดสีแดง รสชาตหวานๆ หาทานได้ทุกที่ ทุกซอยกันเลยทีเดียว มีวิธีทําข้าวหมูแดงมาแนะนำให้ลองเอาไปทำทานกันดูค่ะ

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงสูตรข้าวหมูแดง

เนื้อหมูส่วนสะโพก 1 กิโลกรัม
ซอสมะเขือเทศกระป๋อง 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีนสำหรับปรุงอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหาร (สีส้มแสด) เบอร์ 735 ใส่เพียงเล็กน้อย
ข้าวสวยหุงสุก ค่อนข้างสวย
ไข่ต้ม

ขั้นตอนและวิธีทําข้าวหมูแดง

ล้างเนื้อหมูแดงให้สะอาด หมักกับซอสมะเขือเทศกระป๋อง ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว กระเทียม น้ำตาลทรายแดง น้ำมันงา เหล้าจีน และสีผสมอาหาร(เล็กน้อย)คนส่วนผสมน้ำหมักให้เข้ากัน หมักหมูทิ้งไว้ประมาณ 30 – 45 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมง(ถ้ามีเวลา)
นำหมูที่หมักไว้แล้วไปย่างด้วยไฟกลาง ขณะย่างพรมด้วยน้ำหมักหมูไปด้วย ย่างพอให้ข้างในสุกฉ่ำน้ำ ผิวนอกพอเกรียมสวย ตั้งพักไว้
ปอกเปลือกไข่ต้มให้สะอาด ล้างน้ำอีกครั้ง ผ่าเป็น 4 ส่วนด้วยด้ายขึงตึง

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงน้ำราดข้าวหมูแดง

น้ำต้มกระดูกหมู
ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำที่เหลือจากหมักหมูแดง
งาขาวคั่วให้หอม 1/2 ถ้วย
แป้งมันละลายน้ำ 1/4 ถ้วย
ขั้นตอนและวิธีทําน้ำราดข้าวหมูแดง
น้ำต้มกระดูกหมู และ น้ำที่เหลือจากหมักหมูแดงปรุงรสด้วย ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย ชิมรสให้ออกหวานนำนิดหน่อย สีอย่าให้แดงมากไป เสร็จแล้วเติม แป้งมันผสมน้ำ ให้เหนียว โรยด้วยงาขาวคั่ว เป็นอันเสร็จยกลงสำหรับราดหน้า (น้ำปรุงรสจะต้องทำให้อร่อย เพราะเป็นหัวใจของข้าวหมูแดง)

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงน้ำจิ้มข้าวหมูแดง

น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
ซีอิ้วดำ 1/2 ถ้วยตวง
พริกชี้ฟ้าหั่น 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วหวาน


ขั้นตอนและวิธีทําน้ำจิ้มข้าวหมูแดง

พริกขี้ฟ้าสดหั่นหนา ๆ หรือพริกขี้หนูหั่น ผสมกับน้ำส้มสายชูแท้ มีรสเปรี้ยว ใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลทราย เกลือ และซีอิ๊วหวานคนให้เข้ากัน ควรทำทุกวัน อย่าให้เหลือค้างคืน

เครื่องประกอบข้าวหมูแดงหรือเครื่องเคียงข้าวหมูแดง

กุนเชียงทอด หั่นชิ้นพอคำ
ไข่ต้ม ต้องต้มให้เป็นยางมะตูม มีสีแดงสด ถึงจะน่ารับประทาน
แตงกวา หั่นชิ้นหนา ๆ 3 – 4 ชิ้น
ต้นหอม
พริกสด หั่นขวาง
กระเทียม
พริกขี้หนูสวน
 ที่มา : http://www.mythaimenu.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/

วิธีทําข้าวขาหมู

1 ความคิดเห็น



วิธีทําข้าวขาหมู


ข้าวขาหมู เมนูอาหารจานเดียวจานโปรดของใครหลายๆคน มีวิธีการทำแลพสูตรที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวขาหมูสูตรขาหมูน้ำแดง , ข้าวขาหมูสมุนไพร ,ข้าวขาหมูยาจีน และที่นิยมมาคือ ข้าวขาหมูตรอกซุง ไม่ว่าจะข้าวขาหมูแบบไหนรสชาตถูกปากคนทานทั้งนั้น ลองมาทำข้าวขาหมูทำเองง่ายๆ ทานกันภายในครอบครัวกันนะคะ

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงข้าวขาหมู
1. ขาหมู 1 ขา (ต้องเลือกขาหลัง) หรือตามจำนวนของผู้รับประทาน
2. ใบเตย เอามามัดเป็นกำ
3. กระเทียม แกะออกมาเป็นเม็ด ไม่ต้องแกะเปลือก ไม่ต้องทุบ ประมาณ 1 ถ้วย
4. ซวงเจีย (หาซื้อแถวร้านขายยาจีน) 10 กรัม
5. โป๊ยกั้ก 10 กรัมหรือประมาณ 5 ดอก
6. ไม้หอม(อบเชย) 5 ชิ้น
7. พริกไทยดำ
8. พริกไทยขาว
9. เหล้าแม่โขง ประมาณ 10 ฝา
10. โอวัลติน รสดั้งเดิม 3 ช้อนโต๊ะ
11. ซีอิ้วขาวตราเด็กสมบูรณ์ 1/4 ขวด
12. ซีอิ้วง่วนเชียง (ฝาเขียว) 1/4 ขวด
13. ซีอิ้วดำ 1 ขวดเล็ก
14. ข่า เอาเป็นหัว ไม่เอาใบ ล้างให้สะอาด ลอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อน ห้ามทุบ
15. เกลือเม็ดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
16. น้ำตาลปีบประมาณ 1/2 กก.
17. น้ำเปล่า 2 ลิตร

วิธีเลือกขาหมู
1. ต้องเลือกขาหลัง เพราะว่าขาหน้ากระดูกใหญ่
2. เลือกทั้งท่อน เช่นตั้งแต่อุ้งตีนหมู ที่เขาเรียกว่า “คากิ” ไปจนถึงข้อที่ 2 เกือบต้นขา ได้ขาหมูมาแล้วนะครับไม่ต้องหั่นเป็นท่อนเล็กเอาทั้งท่อนใหญ่ (เวลาซื้อชอบไปซื้อที่แมคโคร เพราะมันถูกดี เลือกได้ดีด้วย สำคัญคือ ไม่ต้องให้เขาหั่นเป็นท่อน ๆนะคะ)
3. เอามีดโกนขนออก หรือเอาไฟเผา ให้ขนมันออกให้หมด เอาให้สะอาดนะคะ ล้างให้สะอาด พักไว้ให้แห้ง

ขั้นตอนและวิธีทําข้าวขาหมู
1. ล้างขาหมูให้สะอาด พักไว้ให้แห้ง
2. นำขาหมูไปทอดน้ำมัน ใช้น้ำมันเยอะหน่อยนะคะเอาให้ท่วมหรือเกือบท่วมขาหมู ทอดจนหนังหมูเป็นสีเหลืองแก่ๆ แต่ต้องระวังไม่ให้หนังหมูไหม้
3. ตั้งหม้อต้มน้ำใส่ใบเตยที่มัดแล้วลงไป
4. เตรียมเครื่องพะโล้ใส่ถุงผ้าขาวบางใส่ลงไปในหม้อ
5. นำขาหมูใส่ลงไป เปิดไฟกลางเคี่ยวไปเรื่อยๆพอน้ำเริ่มร้อนให้ใส่โอวัลตินลงไป ใส่เหล้าแม่โขง ซีอิ้วดำ ซีอิ้วขาว ชิมให้รสออกเค็มนิดหน่อย เคี่ยวพอกลิ่นหอม ลองชิมว่ารสชาติเป็นยังไง น่าจะเค็มขึ้นนะเพราะน้ำระเหยไปพอสมควร ต้องให้น้ำท่วมขาหมูตลอดเวลานะคะ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
6. ขั้นตอนนี้สำคัญ นำน้ำตาลปีบมาเคี่ยวบนกระทะ เคี่ยวให้มันไหม้ไปเลย แต่อย่าให้ดำนะคะ พอให้มีกลิ่นไหม้ ตักน้ำต้มขาหมูใส่ให้น้ำตาลมันละลายในกระทะ เคี่ยวอีกนิดหน่อย เทลงในน้ำตัมขาหมู เคี่ยวไปเรื่อยๆหมั่นตักขาหมูดูว่าเริ่มนิ่มหรือยัง
7. ลองชิมน้ำดูอีกครั้ง น้ำขาหมูจะต้องหวานนิด เค็มหน่อย ถ้ามันยังไม่มีรสชาติก็เติม ซีอิ้ว ขาว ดำ หรือน้ำตาล หรือเติมน้ำเปล่าลงไป ปรุงให้มันได้รสที่เราต้องการ
8. เคี่ยวไฟเบาๆไปเรื่อยนะคะ จนเนื้อหมูนิ่ม แต่ไม่เละ จากนั้นปิดไฟ
9. เสริฟพร้อมผักเคียง (ลวกผักคะน้าในน้ำเดือดๆ พอสุกดีให้รีบนำออกมาแช่ลงในน้ำเย็นทันที (เพื่อผักจะได้มีสีเขียวน่ารับประทาน) หรือใช้ผักกาดดองชนิดเปรี้ยวนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วเคี่ยวกับน้ำขาหมูจนนิ่ม) และน้ำจิ้มขาหมูพร้อมรับประทาน

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงน้ำจิ้มข้าวขาหมู (สูตร 1)
กระเทียมสดปอก 1/2 กำมือ
น้ำกระเทียมดอง 15 กรัม
น้ำส้มสายชูอย่างดี 1/2 ขวด
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
พริกเหลือง 100 กรัม

ขั้นตอนและวิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดผสมให้เข้ากันโดยละเอียด

ส่วนประกอบและเครื่องปรุงน้ำจิ้มข้าวขาหมู (สูตร 2) วิธีทำเหมือนกับสูตร 1 ต่างกันที่ส่วนประกอบของน้ำจิ้มข้าวขาหมู
กระเทียมตำละเอียด 10 กลีบ
พริกเหลืองตำละเอียด 10 เม็ด
น้ำตาลทราย 1 – 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูกลั่น 5 % 1 ถ้วย
เกลือ 2 ช้อนชา

ขั้นตอนและวิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกคล้าให้เข้ากัน
ที่มา : http://www.mythaimenu.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9/

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า

0 ความคิดเห็น



กระต่ายกับเต่า 
.The Rabbit and The Tortoise .


มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร "





One day, when a tortoise was walking, a rabbit came running from the other side. "hihi!, the tortoise. You walk slowly also today. Why do you walk slowly like that?" "I walk slowly but, nobody has bigger durability than mine." said the tortoise.



" นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ "




"You may compete with me to the top of that mountain." the tortoise said. The rabbit said, laughing aloud , "ha ha, It is interesting, Although It is impossible for you to win against me." The rabbit gathered friends promptly . The rabbit had a plan to give a disgrace and laugh at the tortoise. "Everybody, please look at the result of which one run fast in this dull tortoise and me ha ha."



" เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ




"Ready !, Go!" The tortoise and the rabbit started with the shout of a fox, simultaneously . "Pyon!Pyon!Hyew" The rabbit ran at uncanny speed. And, the rabbit had reached to the middle of a mountain in a moment . "Where is the tortoise?" When the rabbit looked back, the tortoise was walking far after .



พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง


The audience laughed at him together, saying "Tortoise, tortoise, you are slowest in the world..ha ha." The tortoise was still walking aiming at the top of a mountain without doing a rest . The rabbit was tired of waiting, "The tortoise is yet far, I will also still do a nap for a while." He fell asleep at the midway of the mountain.



ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง"






While the rabbit was sleeping, the tortoise is continuing walking without a rest . "Although I am a dull foot, I don't lose at durability to anybody . I will do my best!" After a while , when the tortoise came in the mountain, he heard a snore from some where. "What?, a snore is heard. Ah!, the rabbit is sleeping there."



ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว




Near the rabbit which is sleeping well , the tortoise walked step by step earnestly. After a while, the rabbit woke up at last. "Hee ! Where is the tortoise?" He looked for the tortoise, but he could not find it anywhere. when he noticed and looked at the top of a mountain, the tortoise was showing cheers there.


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

     "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ"
let's have the perseverance which can work steadily like the tortoise. .

ที่มา : http://sukumal.brinkster.net/isoppu/kametousagi/usagi01.html

เพลงลมเปลี่ยนทิศ

0 ความคิดเห็น


เพลง ลมเปลี่ยนทิศ

เนื้อเพลง: ลมเปลี่ยนทิศ
ศิลปิน: Big Ass
อัลบั้ม: Ep แดนเนรมิต

ใบไม้หล่น เมื่อลมพัดผ่าน
เป็นสัญญาน แห่งความผันเปลี่ยน
ทุกๆ สิ่งคือความหมุนเวียน ไม่เที่ยงแท้
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพียงเพื่อฉุดให้เธอไม่ไป
ในที่สุดก็คงต้องหยุด และยอมแพ้

ใจของคนหนอคน
ก็ไม่รู้จะห้ามยังไง ให้ลมไม่เปลี่ยนทิศ
และชีวิตชีวิตจะห้ามยังไงให้เธอไม่ไป ไม่มีทาง

เรามาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน
ขอบใจนะที่เคยมีกัน
มันถึงเวลายอมรับความจริง
เรามาไกลเท่านี้ ก็เกินที่ฝัน ตั้งเท่าไร
เมื่อชีวิตคือความเป็นไป
สุดท้ายก็ต้องจากกัน เท่านั้นเอง

ชีวิตหนึ่งกำลังเริ่มใหม่ ชีวิตหนึ่งกำลังว่างเปล่า
ความรู้สึกช่างทรมาณและโหดร้าย
ทำได้เพียงแต่ยอมรับมัน แม้ต้องเจ็บจะยอมเข้าใจ
คงไม่มีอะไรเหมือนเดิม อีกต่อไป

ใจของคนหนอคน
เมื่อสุดท้ายจะห้ามยังไง สายลมย่อมเปลี่ยนทิศ
และชีวิตชีวิตจะห้ามยังไงก็ต้องเปลี่ยนไป ไม่ต่างกัน

เรามาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน
ขอบใจนะที่เคยมีกัน
มันถึงเวลายอมรับความจริง
เรามาไกลเท่านี้ ก็เกินที่ฝัน ตั้งเท่าไร
เมื่อชีวิตคือความเป็นไป
สุดท้ายก็ต้องจากกัน เท่านั้นเอง

ผ่านพบเพียงมาเพื่อจากกัน เท่านั้นเอง
ที่มา : http://lyrics.in.th/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8-big-ass/

วิธีการทำน้ำเก๊กฮวย

1 ความคิดเห็น




                         
น้ำเก๊กฮวย

       น้ำเก็กฮวย(หรือน้ำเก๊กฮวย) ทำมาจากดอกเก็กฮวยซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศจีน อยู่ในตระกูลเดียวกับเบญจมาศ บางคนก็เรียกว่าเบญจมาศสวนหรือเบญจมาศหนู น้ำเก็กฮวย เป็นน้ำสมุนไพรที่หลายๆ คนชื่นชอบ


วีธีทำน้ำเก็กฮวย

       1.เอาดอกเก็กฮวยแห้ง 5-10 ดอก ลงไปในหม้อกับน้ำประมาณ 2 ลิตรต้มนาน 5 นาที

       2.กรองเอาดอกเก๊กฮวยออก

       3.เติมน้ำตาลเพิ่มความหวานได้ตามใจชอบ หรือจะใส่ใบเตยเพิ่มความหอมลงไปด้วยก็ยิ่งดี

หมายเหตุ   ถ้าจะไม่เติมน้ำตาล เพียงเติมน้ำร้อนใส่แล้วดื่มเป็นชาเก็กฮวยก็ได้เหมือนกันค่ะ แล้วแต่ชอบนะค่ะ


ประโยชน์ของน้ำเก๊กฮวย

         **เป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน

       **เป็นยาแก้ปวดท้องและช่วยระบาย


       **ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงหัวใจ จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่างๆ เช่น โรคความ
ดันโลหิตสูงโรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจได้
          **ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
          **ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจล้มแหลว
       
          **ป้องกันโรคความดันสูง
          **แก้อาการไข้ แก้ไอ
          **บำรุงตับ
          **แก้ร้อนใน
          **แก้เวียนหัว หน้ามืด
                                     
ที่มา : http://tonpalmkanokan-healthy.blogspot.com/2012/05/blog-post_08.html

เทคนิคการออมแบบง่ายๆ

0 ความคิดเห็น



เทคนิคการออมแบบง่ายๆ

แยกรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วดูว่ามีเงินคงเหลือเท่าไหร่

          สาเหตุที่ต้องคำนวนเงินคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นออกไปก่อนหลังรับเงินเดือนมา นั่นก็เพราะว่าคุณจะได้ทราบตัวเลขที่แน่นอนว่ามีเงินคงเหลืออีกจำนวนเท่าไหร่ เพื่อจะได้นำไปจัดสรรปันส่วนระหว่างเงินที่ต้องเก็บ และเงินที่สามารถใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง

 พิจารณาดูว่าควรออมเงินแบบไหน

          คุณควรหันมาสังเกตการใช้เงินในแต่ละเดือนดูบ้าง ว่ามีการใช้จ่ายมากขนาดไหน และในอนาคตมีแผนนำเงินไปลงทุนอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกฝากเงินกับทางธนาคารตามประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ผู้ที่มีความคิดจะเก็บเงินซื้อบ้าน อาจต้องเลือกฝากเงินแบบฝากประจำ ทั้งนี้ก็เพื่อบังคับตัวเองให้นำเงินไปฝากตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้

 แบ่งเงินใช้จ่ายตามความเหมาะสม

          เมื่อไหร่ที่ได้รับเงินเดือนมาแล้ว ขอให้คุณแบ่งเงินเอาไว้เลยสำหรับเงินเก็บส่วนหนึ่ง และเงินสำหรับใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น เพื่อให้คุณรู้สัดส่วนจำนวนเงินที่สามารถใช้ได้จริง โดยไม่ต้องไปแตะต้องกับเงินส่วนที่ออมไว้


 ทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย

          แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ดูจุกจิกและอาจทำให้หลาย ๆ คน เบื่อกับการต้องมานั่งจดบันทึกว่ามีรายรับ - รายจ่ายมากน้อยขนาดไหน แต่มันจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่า ในแต่ละวันคุณหมดเงินไปกับอะไรบ้าง หากพบว่าเงินที่ใช้ดันหมดไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น คราวหน้าจะได้ไม่ซื้ออีก


ลองทำกันดูนะคะ เทคนิคการอดออมเงินที่นำมาฝาก  ถ้าทำจริงต้องได้ผลแน่ๆคะ ประหยัดอดออมในวันนี้ เพื่ออนาคตที่มัั่่นคงในวันหน้าค่ะ  ช้อปปิ้งได้นะคะสาวๆ แต่อย่าเพลินจนเงินในประเป๋าหมดนะคะ

ที่มา : http://blog.eduzones.com/parttime1/100325

เค้กมะพร้าวอ่อน

0 ความคิดเห็น


เค้กมะพร้าวอ่อน 


วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ๆ เลยนะปีที่แล้วยังหัดทำเค้กเค้กใบเตยมะพร้าวอ่อนอยู่เลย 
และแล้วก็มาบรรจบครบรอบอีกหน สำหรับบล็อกนี้ยังเป็นเค้กมะพร้าวอ่อนแต่งด้วยวิปครีมหวานเบา ๆ 
ปุ้มว่ามันเข้ากันมาก ๆ ..มากกว่าบัตเตอร์ครีมที่เคยทำปีที่แล้วซะอีก 
ชิฟฟอนยังคงยึดสูตรจากแม่สลิ่ม ส่วนไส้สูตรมะพร้าวอ่อนลองเปลี่ยนไปใช้สูตรของคุณลูกปลา 
จดลงสมุดนานมากแล้วซึ่งจริง ๆ อัตราส่วนก็ไม่ต่างกันแต่อันนี้จะหวานเบา ๆ และมันด้วยวิปปิ้งครีม
โดยรวมแล้วทั้งชิฟฟอนและครีมมะพร้าวอ่อนลงตัวกันมาก ๆ สำหรับคนไม่ชอบหวานแบบเรา
รอบนี้มีคนช่วยคอนเฟิร์ม 4 รายบอกว่า "อร่อย เค้กเบานุ่ม รสเข้มข้นแต่หวานกำลังดีค่ะ"
ใคร ๆ เค้าทำกันไปหมดแล้วแต่เผื่อว่าใคร ๆ อีกหลาย ๆ คนที่เพิ่งหัดทำเบเกอรี่
ก็จะมายืนยันอีกเสียงว่าเป็นเค้กที่รวมกันจากหลายสูตรแล้วอร่อยและดีจริง ๆ 

ช่วงนี้ขี้เกียจจัดฉากถ่ายภาพ-ย่อภาพ เขียนบล็อกนี้แบบปะติดปะต่อกันก็หลายชั่วโมง
จึงขอแป๊ะลิงค์และภาพประกอบบางส่วนไว้ให้ผู้ที่สนใจก็แล้วกันนะคะ 

ลิงค์นี้เป็นขั้นตอนชิฟฟอนเค้กที่มีอัตรา-ส่วนผสมและขั้นตอนทำรายละเอียดไว้แล้วค่ะ สนใจฝึกด้วยตัวเองก็คลิ๊กเข้าไปดูได้ เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อนสูตรแม่สลิ่ม 



ส่วนผสมไส้มะพร้าวอ่อน สูตรของคุณลูกปลา 

- แป้งข้าวโพด 20 กรัม
- น้ำตาลทราย 50 กรัม
- ผงวุ้น 1 ชช
- เกลือป่น ¼ ชช
- นมข้นจืด 150 กรัม
- วิปปิ้งครีม 150 กรัม
- เนยสดชนิดเค็ม 25 กรัม
- เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 ลูก 

สำหรับวิปครีมใช้สูตรวิปครีมจาก Strawberry Cake Roll สูตรของพี่ภัส (นางฟ้าของชาลี) 

- วิปปิ้งครีม 200 ml.
- น้ำตาลทราย 15 กรัม
วิปครีมเค้กม้วนที่เคยหัดทำในบล็อกนี่แหละค่ะ
แต่วันนี้ใช้วิปปิ้งครีมราว ๆ 3 ถ้วยตวงเพิ่มน้ำตาลจากสูตรอีกเล็กน้อยหวานไม่มากแต่หวานกำลังดี


แต่


ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tabtimsiam&month=10-2012&date=26&group=9&gblog=57

สูตรอาหารซาลาเปาไส้ครีม

0 ความคิดเห็น



สูตรอาหาร : ซาลาเปาไส้ครีม


                                           ซาลาเปาไส้ครีม

ส่วนผสมไส้

1.ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง ดูวิธีแยกไข่แดงได้ที่นี่ครับ
2.ไข่ไก่ 2 ฟอง
3.น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
4.นมข้นจืด 10 ช้อนโต๊ะ
5.นมผง 1 ช้อนโต๊ะ
6.แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
7.เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
8.วานิลลา 1/2 ช้อนชา
9.เนยสด 50 กรัม

วิธีทำ

1.ผสมน้ำตาลทราย นมผง แป้งข้าวโพดให้เข้ากัน พักไว้
2.เทนมข้นจืดลงในส่วนผสมของแป้ง คนให้น้ำตาลทรายละลาย
4.นำส่วนของไข่แดงและไข่ไก่เทลงในส่วนผสม คนให้เข้ากันดี แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
   นำไส้ครีมไปนึ่งประมาณ 10 นาที
หมายเหตุ : เวลานึ่งให้เปิดฝาคนประมาณ 3 ครั้ง
 ที่มา : http://www.hilunch.com/sa-la-pao-cream/

นายกรัฐมนตรีคนที่ 1

0 ความคิดเห็น


         นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)

                                                              467_prime01.jpg
นายกรัฐมนตรี
คนที่ 1 พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
ครม.คณะที่ 1 นรม.ดำรงตำแหน่งวันที่ 28 มิถุนายน 2475 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร นรม.พ้นจากตำแหน่งวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร (10 ธันวาคม 2475) วันแถลงนโยบายไม่มีการแถลง
ครม.คณะที่ 2 นรม.ดำรงตำแหน่งวันที่10 ธันวาคม 2475 โดยมติสภาผู้แทนราษฎร นรม.พ้นจากตำแหน่งวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยพระราชกฤษฎีกาให้ปิดสภาผู้แทนและตั้ง ครม. ชุดใหม่ วันแถลงนโยบาย 20 ธันวาคม 2475
ครม.คณะที่ 3 นรม.ดำรงตำแหน่งวันที่ 1 เมษายน 2476 โดยพระราชกฤษฎีกา นรม.พ้นจากตำแหน่งวันที่ 21 มิถุนายน 2476 โดยรัฐประหารนำโดยพ.อ.พระยาพหลพลพยุเสนา วันแถลงนโยบาย 1 เมษายน 2476

ประวัติ ชื่อเดิมว่า "ก้อน หุตะสิงห์"เกิด
วันที่ 15 กรกฎาคม 2427
ที่จังหวัดพระนคร
บุตรของนายฮวด กับ นางแก้ว หุตะสิงห์
สมรสกับคุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดา (นิตย์ สามเสน)
ถึงอสัญกรรม ณ ที่นั้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2491
รวมอายุได้ 64 ปีเศษ

การศึกษา  วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนอัสสัมชัญวิทยาลัย
โรงเรียนกฏหมายกระทรวงยุติธรรม(เนติบัณฑิตสยาม)
The Middle Temple(เนติบัณฑิต )ประเทศอังกฤษ

ระยะเวลาดำรง1 รัฐบาลที่ 1 28 มิถุนายน 2475 - 9 ธันวาคม 2475
ตำแหน่ง         2 รัฐบาลที่ 2 10 ธันวาคม 2475 - 1 เมษายน 2476
                                    3 รัฐบาลที่ 3 1 เมษายน 2476 - 20 มิถุนายน 2476

บทบาททางการเมือง 27-28 มิ.ย.2475 : ได้มีมติแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานคณะกรรมการราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในการบริหารเทียบเท่ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
9 ธ.ค. 2475 : ลาออก
10 ธ.ค. 2475 : พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง
1 เม.ย.2476 : แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
20 มิ.ย. 2476 : พันเอก พระยาพหลพลพยุเสนาได้เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ผลงานที่สำคัญ
พ.ศ. 2461 ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการในพระองค์
ที่มา : http://www.thaigov.go.th/th/prime-minister/item/63198-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C.html

เพลงถ้ายังเรียกเขาว่าแฟนจะมาควงแขนฉันทําไม

0 ความคิดเห็น


เพลงถ้ายังเรียกเขาว่าแฟนจะมาควงแขนฉันทําไม


เนื้อเพลง ถ้ายังเรียกเขาว่าแฟนจะมาควงแขนฉันทำไม
พลอย พรทิพย์ – ถ้ายังเรียกเขาว่าแฟนจะมาควงแขนฉันทำไม
คำร้อง เผ่าพันธ์ อมตะ
ทำนอง ทีฑทัศน์ ทวิอารยกุล
เรียบเรียง นิพันธ์ คีตวัชรานันท์

มันเป็นตำแหน่งที่ใจฉันไม่ต้องการ
เป็นมือที่สามของใครฉันทำไม่เป็น
ผู้หญิงด้วยกันเข้าใจ แต่ใจเธอมองเห็นเพียงตัวเอง
ถ้าเขารู้เรื่องเรา เขาจะเจ็บสักเท่าไร

คงเป็นประโยชน์กับเธอเท่านั้นคนเดียว
แต่ฉันคงเหมือนแค่เพียงของเล่นในมือ
เหงา เหงาเมื่อไรก็มา เมื่อคิดถึงเขาแล้วเธอก็ไป
รู้ไหมฉันเหนื่อยใจ พอแล้วเธอ

อย่ามาตามหาฉัน ถ้าเธอยังเรียกเขาว่าแฟน
ถ้าเขายังเดินควงแขน ก็อย่าโทรมาหาเลย
อย่าตามอย่าถามถึง แค่ปล่อยให้เรื่องเรามันตายไปเฉย เฉย
ถ้ายังรักเขาจริง จริง แนะนำว่าให้ทิ้งอีกคนที่เกินเลย

ลากันไปเถอะและลืมเรื่องฉันในใจ
ลบล้างให้หายให้มีเหลือเขาคนเดียว
สงสารหัวใจอีกดวง ที่เขาไม่รู้เรื่องราวอะไร
ฉันขอไม่เกี่ยวจากนี้ไป

อย่ามาตามหาฉัน ถ้าเธอยังเรียกเขาว่าแฟน
ถ้าเขายังเดินควงแขน ก็อย่าโทรมาหาเลย
อย่าตามอย่าถามถึง แค่ปล่อยให้เรื่องเรามันตายไปเฉย เฉย
ถ้ายังรักเขาจริง จริง แนะนำว่าให้ทิ้งอีกคนที่เกินเลย

อย่ามาตามหาฉัน ถ้าเธอยังเรียกเขาว่าแฟน
ถ้าเขายังเดินควงแขน ก็อย่าโทรมาหาเลย
อย่าตามอย่าถามถึง แค่ปล่อยให้เรื่องเรามันตายไปเฉย เฉย
ถ้ายังรักเขาจริง จริง แนะนำว่าให้ทิ้งอีกคนที่เกินเลย
ที่มา :http://www.postmp3.com/tag/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82/

นุ่น วรนุช

0 ความคิดเห็น


นุ่น วรนุช




 ชื่อจริง วรนุช วงษ์สวรรค์

 ชื่อเล่น นุ่น

 วันเกิด วันพุธที่ 24 กันยายน 2523 (ปีวอก)

 ราศี ตุลย์

 อายุ 27 ปี

 ศาสนา พุทธ

 ส่วนสูง – น้ำหนัก 165 ซม. – 43 ก.ก.

 บิดา นายปรีชา วงษ์สวรรค์

 มารดา นางระเบียบ วงษ์สวรรค์

 พี่น้อง 5คน (โอ๋ ,นุ้ย ,นุ่น ,โน้ต, เนส)

 การศึกษา

     ประถม: ร.ร.เดชอนุสรณ์

     มัธยม : วิทยาลัยนาฏศิลป์

     ปริญญาตรี : คณะวิทยาการจัดการ โปรแกรมนิเทศศาสตร์ภาคสมทบ สถาบันราชภัฏสวนดุสิต

 ความสามารถพิเศษ รำไทย

 นิสัย ร่าเริง ขี้เล่น ชอบแกล้ง

 สไตล์การแต่งตัว สบาย ๆ ตามกาลเทศะ

 น้ำหอมที่ใช้ DKNY, Armani

 สีที่ชอบ ฟ้า, ขาว-ดำ

 งานอดิเรก ดูหนัง , ช้อปปิ้ง

 กีฬา กอล์ฟ ,โบว์ลิ่ง

 แนวเพลงที่ชอบ ป็อป

 อาหารจานโปรด ข้าวหมูทอด, ยำสาหร่าย

 ของหวานสุดโปรด ช็อกโกแลต

 สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ ทะเล

 พาหนะคู่ใจ Benz C180

 ผู้ชายในอุดมคติ ฉลาด ดูดี เทคแคร์เก่ง มีความคิดเป็นผู้ใหญ๋

 เพื่อนสนิทในวงการ

     หนิง – ปณิตา พัฒนาหิรัญ

     เจี๊ยบ – ชมพูนุช ปิยธรรมชัย

 เพื่อนสนิทนอกวงการ กบ วนิดา , ต่าย กุลกานต์

 คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

 ผู้ชักนำเข้าวงการ แก้ว พรีเมียร์

 ผลงานละครเรื่องแรก ปอปผีฟ้า

 รางวัลที่ได้รับ

     - สาวหน้าใส จากเวทีประกวดนิตยสาร THE BOY

 ปี พ.ศ.2548

     -Hamburger Awards : นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น

     -Top Awards 2004 : ดารานำหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น

     -Star Entertainment Awards 2004 : ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น

     -รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 19 ประจำปี 2547 : ดารานำหญิงดีเด่น จากละคร แม่อายสะอื้น

     -รางวัลเมขลา ครั้งที่ 23โดย สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย : ผู้แสดงนำละครแนวชีวิตหญิงยอดเยี่ยม

      จากละคร แม่อายสะอื้น

 ปี พ.ศ.2549

     -คม ชัด ลึก อวอร์ด ครั้งที่ 3 : นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่องเฉิ่ม

     -การประกาศผลภาพยนตร์ไทยประจำปี 48 โดย ชมรมวิจารณ์บันเทิง : ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

      จากภาพยนตร์เรื่องเฉิ่ม

     -Star Entertainment Awards 2005 : ผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องเฉิ่ม

     รางวัลพิเศษดาราขวัญใจนักข่าวบันเทิงฝ่ายหญิง
ที่มา : http://www.kodhit.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4/%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8A



















นักวิทยาศาสตร์ไทย

0 ความคิดเห็น


"คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก" คำกล่าวนี้คงไม่ใช่สิ่งที่เกินความจริงนัก นั่นก็เพราะประเทศไทยมีบุคลากรที่เก่งกาจ และมีความสามารถมากมาย โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ ที่แม้ว่าประเทศไทยเองอาจจะไม่ได้ส่งเสริมการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์มากนัก แต่กลับมีนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของไทยสามารถสร้างผลงาน จนสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
   
           วันวิทยาศาสตร์ ซึ่งตรงกับ วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี วันนี้ กระปุกดอทคอม จะขอแนะนำสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีผลงานเด่น ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกัน อ้อ...ขอบอกก่อนว่า บุคคลที่เรากล่าวถึงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ไทยเท่านั้นนะคะ เพราะจริง ๆ แล้วยังมีคนไทยเก่ง ๆ อีกมากมายเลยทีเดียว ซึ่งคงไม่สามารถกล่าวได้หมด ณ ที่นี้อย่างแน่นอน
 วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
                                                        รัชกาลที่ 4 บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย


รัชกาลที่ 4 บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

         พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย เนื่องจากสนพระทัยเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรขาคณิต ตรีโกณมิติ โดยเฉพาะดาราศาสตร์เป็นพิเศษ โดยพระองค์ทรงคำนวณปฏิทินจันทรคติแบบใหม่ที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นด้วยพระองค์เอง ซึ่งมีความแม่นยำถูกต้องตรงกับดวงจันทร์บนท้องฟ้ายิ่งกว่าปฏิทินที่ใช้อยู่เดิม และยังทรงคำนวณการเกิดปรากฎการณ์สุริยปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้ล่วงหน้าถึง 2 ปีอย่างแม่นยำ

         และในปัจจุบันนี้ ประชาคมดาราศาสตร์ในระดับสากลที่ศึกษาด้านสุริยุปราคา ยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำ ว่าเป็น "King of Siam's Eclipse"



                                         ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส
 ศ.นพ.ประเวศ วะสี



ศ.นพ.ประเวศ วะสี





ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี ปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์

         ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นนักวิชาการด้านสาธารณสุขและการศึกษาที่ได้รับการยกย่องในฐานะ "ราษฎรอาวุโส" โดยหลังจากจบการศึกษาแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งได้รับเหรียญทองในฐานะที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดหลักสูตรแล้ว ศ.นพ.ประเวศ ก็ได้รับทุนมูลนิธิอานันทมหิดลไปศึกษาด้านการแพทย์ต่อที่สหรัฐอเมริกา และเมื่อจบการศึกษาแล้ว ศ.นพ.ประเวศ ก็ได้เข้าศึกษาต่อด้านมนุษยพันธุศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำให้ท่านเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านพันธุศาสตร์

         ทั้งนี้ ผลงานเด่นของ ศ.นพ.ประเวศ ก็คือ การค้นพบกลไกทางพันธุศาสตร์ ของโรคแอลฟ่าธาลัสซีเมีย โดยพบว่ามียีนส์แอลฟ่าธาลัสซีเมีย 2 ชนิด และได้ให้ชื่อว่า แอลฟ่าธาลัสซีเมีย 1 และ แอลฟ่าธาลัสซีเมีย 2 ซึ่งก็ทำให้ท่านได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี พ.ศ.2526 สาขาชีววิทยา (พันธุศาสตร์) รวมทั้งยังได้รับรางวัลอีกมากมาย เช่น รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการรัฐ ได้รับเลือกเป็นบุคคลดีเด่นของชาติ สาขาการแพทย์ รวมทั้งยังได้รับเลือกเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อปี พ.ศ.2531 อีกด้วย


                                   
                                                    ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 

         จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และโท สาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยมีผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องคลื่นไมโครเวฟ จากนั้น ดร.อาจอง ก็ได้ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ที่ Imperial College of Science and Technology London University ซึ่งด้วยความสามารถของ ดร.อาจอง ทำให้เขาสามารถสร้างชื่อเสียงไปในระดับโลก โดยได้เข้าร่วมออกแบบชิ้นส่วนขา และชิ้นส่วนระบบลงจอดของยานอวกาศให้กับบริษัท Martin Marietta ซึ่งองค์การนาซาของสหรัฐอเมริกาว่าจ้างให้ออกแบบ เพื่อนำไปใช้ในยานอวกาศไวกิ้ง 2 ลำส่งไปลงบนดาวอังคาร

         หลังจากทำงานในต่างประเทศได้สักพัก ดร.อาจอง ก็ได้เดินทางกลับมาทำงานด้านวิศวกรรมในประเทศไทย และได้สร้างผลงานไว้มากมาย จนได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เมื่อ พ.ศ. 2527 นอกจากนี้ ดร.อาจอง ยังเป็นผู้ที่สนใจด้านธรรมะ นำไปสู่การสร้างโรงเรียนวิถีพุทธ เพื่อขัดเกลาจิตใจเยาวชนของชาติอีกด้วย

ศาสตราจารย์ ดร.ระวี ภาวิไล 

         ท่านเป็นนักวิชาการด้านดาราศาสตร์ที่บุกเบิกการศึกษาด้านดาราศาสตร์รุ่นแรก ๆ ของประเทศไทย โดยท่านจบวิทยาศาสตร์ บัณฑิต สาขาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปต่อปริญญาโททางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยแอเดอเลด ประเทศออสเตรเลีย และศึกษาปริญญาเอกทางดาราศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย จนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์

         สำหรับผลงานเด่น ๆ ด้านดาราศาสตร์ ได้แก่ การศึกษาโครงสร้างของโครโมสเฟียร์ ดวงอาทิตย์ เรื่องโครงสร้างอาณาจักรบริเวณกัมมันต์บนดวงอาทิตย์ เรื่องโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของบรรยากาศระดับโครโมสเฟรียร์ของดวงอาทิตย์ รวมทั้งเรื่องบรรยากาศของดวงอาทิตย์ เป็นต้น แต่บุคคลทั่วไปจะรู้จักท่านในช่วงปี พ.ศ.2529 ที่ดาวหางฮัลเลย์เดินทางมาเยือนเมืองไทย รวมทั้งช่วงที่มีข่าวฝนดาวตก ซึ่งนับได้ว่า ศาสตราจารย์ ดร.ระวี ภาวิไล เป็นผู้มีส่วนที่ทำให้สังคมไทยสนใจเรื่องดาราศาสตร์มากขึ้น

ศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน

         ด้วยความที่ ศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน จบการศึกษาด้านฟิสิกส์จากอิมพีเรียลคอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน ก่อนจะศึกษาต่อปริญญาโท และปริญญาเอก ด้านฟิสิกส์ของแข็งภาคทฤษฎี จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ สหรัฐอเมริกา ทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์เป็นอย่างยิ่ง และมีผลงานด้านการสร้างทฤษฎีอธิบายสมบัติพื้นฐานบางประการของสภาพนำยิ่งยวด รวมทั้งผลงานด้านวิชาการอีกมากมาย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติถึง 37 เรื่อง

         ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ยังได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2530 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ รวมทั้งรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี พ.ศ. 2530 สาขาฟิสิกส์ทฤษฎี และได้รับทุนวิจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

ศาสตราจารย์ ดร.วิรุฬห์ สายคณิต

         ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นคนแรกของไทย ประจำปี พ.ศ. 2525 สาขาฟิสิกส์ โดยเป็นผู้บุกเบิกในการนำทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory) แบบฟายน์แมน (Feynmen) มาประยุกต์กับเรื่องของฟิสิกส์ของสภาวะของแข็ง (Condensed Matter Physics) และได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้ติดต่อกันนานกว่า 30 ปี จนสามารถสร้างผลงานนำทฤษฎีของฟายน์แมนมาประยุกต์กับปัญหา ของระบบที่ไร้ระเบียบ และนำเสนอทฤษฎีควอนตัมแบบฟายน์แมนประยุกต์กับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งงานวิจัยทั้ง 2 เรื่อง ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติที่มีชื่อเสียงหลายเล่ม และถูกนำไปใช้อ้างอิงในงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเป็นจำนวนมาก

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์

         เป็นที่ฮือฮาอย่างมากในช่วงปี พ.ศ.2538 เมื่อ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิจัยยาต้านเชื้อไวรัสเอดส์ในประเทศไทย จนสามารถผลิตยาสามัญชื่อ "ZIDOVUDINE" (AZT) ซึ่งเป็นยาต้านเอดส์ลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกเป็นครั้งแรกของโลก และได้เดินทางไปถ่ายทอดการผลิตยาในหลายประเทศในทวีปแอฟริกานานนับหลายปี จนได้รับฉายาว่า

"เภสัชกรยิปซี" 

         โดยกว่า 30 ปีที่ ดร.กฤษณา ได้ทุ่มเทกับการทำงานเพื่อผลักดันให้ผู้ป่วยยากไร้ทั่วโลกได้มีโอกาสใช้ยารักษาโรคเอดส์ ก็ส่งผลให้ท่านได้รับรางวัล "บุคคลแห่งปีของเอเชีย ประจำปี ค.ศ. 2008"” จากนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสท์ รวมทั้งรางวัลนักวิทยาศาสตร์โลก (Global Scientist Award) ประจำปี พ.ศ. 2547 จาก Letten Foundation ประเทศนอร์เวย์ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์ จาก Mauny Holly Oke College, USA อีกด้วย

ศาสตราจารย์ ดร.ยงค์วิมล เลณบุรี

         นักคณิตศาสตร์ที่ได้รับรางวัลการันตีมาแล้วมากมายจากทั่วโลก รวมทั้งรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2541 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี 2550 จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิต ประเภทวิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544

         ทั้งนี้ ทุกรางวัลที่ศาสตราจารย์ ดร.ยงค์วิมล เลณบุรี ได้รับนั้น ล้วนมาจากความทุ่มเทวิจัยด้านการนำขบวนการทางคณิตศาสตร์ใหม่ ๆ ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ และระบบต่าง ๆ ในทางชีววิทยาและการแพทย์ รวมไปถึงระบบทางนิเวศวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ ที่สร้างประโยชน์มากมายต่อวงการศึกษา การแพทย์ และการวิจัยของไทย

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยอดหทัย เทพธรานนท์

         เจ้าของรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาเคมี ประจำปี พ.ศ. 2529 และรางวัลนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดีเด่นอาเซียน ประจำปี พ.ศ. 2538 โดยมีผลงานสำคัญคือการวิจัยค้นพบสมุนไพรรักษามะเร็งเป็นคนแรกของโลก รวมทั้งงานวิจัยด้านสารออกฤทธฺ์ทางชีวภาพจากเชื้อรา และงานวิจัยด้านอินทรีย์เคมีสังเคราะห์อีกหลายชิ้น ซึ่งงานวิจัยของท่านกว่า 118 เรื่องได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติที่อยู่ในฐานข้อมูลสากล รวมกว่า 1,016 ครั้ง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ณัฐ ภมรประวัติ

         เป็นผู้ที่ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2536 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้วยผลงานด้านพยาธิวิทยา ที่ศึกษาพบว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีซึ่งพบมากในผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับอาจมาจาก การที่สารก่อมะเร็ง ที่อยู่ในอาหารไปกระตุ้นเซลล์ของระบบท่อน้ำดี ซึ่งถูกรบกวนจากพยาธิใบไม้เป็นเวลานาน ๆ นอกจากนี้ ท่านยังมีผลงานศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ด้านอิมมิวโน พยาธิวิทยาของโรคไข้เลือดออกในเด็ก ซึ่งก่อให้เกิดการประยุกต์รักษาผู้ป่วยได้ในอนาคต

         อย่างไรก็ตาม ท่านยังได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณมากมาย แต่ที่รางวัลที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมากที่สุด ก็คือ รางวัล Pasteur Medal จากองค์การยูเนสโก และสถาบันปาสเตอร์ของ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกนั่นเอง

ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี

         อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นคนแรกของสาขาวิชาวนศาสตร์ของประเทศไทยที่ได้รับปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ริเริ่มชักชวนอาจารย์หลายท่านหันมาร่วมกันทำงานด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ โดยทำวิจัยและรวบรวมข้อมูลนับสิบปี จนมีผลงานการวิจัยเกี่ยวกับป่าไม้ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเรียนการสอนในวิชาด้านสิ่งแวดล้อม

         ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น ส่งผลให้ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากคณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2530 และได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกที่เป็นที่ปรึกษาองค์การยูเนสโก

ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว 

         ท่านจบการศึกษาปริญญาตรี โท เอก ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น จากนั้นก็ได้กลับมาทำงานสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีผลงานสำคัญ เช่น การสร้างห้องปฏิบัติการวิจัยสิ่งประดิษฐ์สารกึ่งตัวนำซึ่งเป็นห้องปฎิบัติการที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย รวมทั้งยังศึกษาวิจัยการประยุกต์นำพลังงานโซลาร์เซลล์ หรือเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และผลงานเซลล์แสงอาทิตย์นี้เองก็ทำให้ท่านได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลผลงานวิจัยดีเด่นจากคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2529 และได้รับเลือกให้เป็นนักวิจัยดีเด่นของทบวงมหาวิทยาลัย ประจำปี พ.ศ.2540

         ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษางานวิจัยด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์

ศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ

         ท่านเป็นบิดาแห่งวิชาเคมีของไทยผู้ล่วงลับ โดย ศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ ได้ศึกษาด้านวิชาเคมีจนเชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา และกลับมารับราชการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งผลงานเด่นของท่านก็คือ การบุกเบิกจัดทำหลักสูตรปริญญาบัณฑิตทางเคมีเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และท่านก็เป็นผู้สอนนิสิตด้วยตัวเอง

         นอกจากนี้ ในระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้เริ่มพัฒนาขยายหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์บัณฑิตให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลในยุคนั้นอีกด้วย เช่นเดียวกับการบุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นทางการแห่งแรกของประเทศไทย ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา 

         ท่านเป็นศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีผลงานเรื่องการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรค ซึ่งได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก และยังได้ศึกษาโรคสมองอักเสบทั้งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะจากพิษสุนัขบ้า และสมองอักเสบจากภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกันแบบครบวงจร

         ด้วยผลงานการวิจัยต่าง ๆ ทำให้ท่านได้รับรางวัลมากมาย ทั้งรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น จากสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2535 รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ จากสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2537 รวมถึงรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปีพุทธศักราช 2547 จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์

ศาสตราจารย์ ดร.ถาวร วัชราภัย

         ได้รับเลือกเป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี พ.ศ. 2532 สาขาพฤกษศาสตร์ จากผลงานการค้นพบการเกิดลักษณะใหม่ของดอกกล้วยไม้ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผันแปรของเซลล์ร่างกายในต้นที่ขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ ด้วยวิธีการเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้นำวิธีการดังกล่าวไปสร้างพันธุ์พืชใหม่ ๆ ขึ้นมาได้อีกเป็นจำนวนมาก

 ที่มา : http://blog.eduzones.com/rangsit/82992


ใบเตย

0 ความคิดเห็น


                   ใบเตย

          "กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ)

          สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ

                   ขนมเปียกปูน





          โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

           น้ำ 85.3 กรัม
           คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
           โปรตีน 1.9 กรัม
           ไขมัน 0.8 กรัม
           กาก 5.2 กรัม
           แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
           ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
           เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
           เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
           วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
           ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
           วิตามินซี 8 มิลลิกรัม

                    ใบเตย




          มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ

           ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

           ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม

           รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น

           ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น

           ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม

          นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้
ที่มา : http://health.kapook.com/view32465.html

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

0 ความคิดเห็น


                        
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย?

เป็น ที่ชัดเจนแล้วว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ1ของพรรคเพื่อไทย สมใจนายห้างดูไบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายสุดที่เลิฟเป็นอย่างยิ่ง ส่วนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต

โดยประวัติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 ชื่อเล่นปู ก่อนหน้านี้หลายคนทราบเพียงว่าเธอคือ ผู้สนับสนุนทางด้านการเงินของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเซท จำกัด โดยการรับช่วงต่อสืบทอดกิจการของครอบครัว หลังจากสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวก้าวเข้าสู่สนามการเมือง เป็นน้องสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ด้าน ชีวิตครอบครัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 9 คน ของ นายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ สมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนกับ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร อดีตผู้บริหารในเครือบริษัท ซีพี และกรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอ็ม ลิงก์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวคนที่ 5 ในตระกูลชินวัตรเมื่อ พ.ศ. 2538 โดย มีบุตรชายนอกสมรสหนึ่งคน ชื่อ ด.ช. ศุภเสกข์ หรือ น้องไปป์

ส่วน เรื่องการศึกษา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จบการศึกษาปริญญาตรี จาก คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2531 และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2533

หลังสำเร็จการศึกษาแล้ว การทำงานได้เข้าทำงานที่ บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด และได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จนได้รับการแต่งตั้ง เป็นกรรมการผู้อำนวยการ ของเอไอเอส เมื่อ พ.ศ. 2545

แต่หลังจาก ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยยังดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเซท จำกัด เพียงตำแหน่งเดียว โดยก่อนหน้านั้นเธอได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือทั้งหมด เพื่อทำกำไรออกไปก่อน ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2548 ปัจจุบัน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิไทยคม

ทั้งหมดทั้งมวลที่ กล่าวมานี้ ด้วยฐานะน้องสาวแท้ๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่ามีภาษีเหนือกว่าคนอื่นอยู่หลายขุม และพรรคเพื่อไทยก็คงจะชนะเลือกตั้งอย่างที่หลายๆ คนคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล และประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่มีชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่เป็นเรื่องที่คาดเดายากยิ่ง อย่าลืมว่าเลือกตั้งครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยก็กำชัยชนะ แต่ไม่สามารถชิงธงจัดตั้งรัฐบาลได้!!!

ประวัติยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ชื่อ-นามสกุล : ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

วันเดือนปีเกิด  : 21 มิถุนายน 2510

ชื่อเล่น : ปู

บิดา : นายเลิศ ชินวัตร (ถึงแก่กรรม 23 ต.ค.2540 ศาลา 7 วัดมกุฎกษัตริยาราม)

มารดา : นางยินดี ระมิงค์วงศ์ (ถึงแก่กรรม)

คู่สมรส : นายอนุสรณ์ อมรฉัตร

บุตร : ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร (ไปป์)

ถิ่นกำเนิด : จังหวัดเชียงใหม่

ประวัติครอบครัว :

เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 10 คน ของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร (เสียชีวิตทั้งคู่)

ชื่อพี่น้อง

1. นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร (เสียชีวิต) สมรสกับพ.อ.(พิเศษ) ศุภฤกษ์ คล่องคำนวณการ (หย่า) มีธิดา 2 คน
น.ส.ปณิตา คล่องคำนวณการ
น.ส.นัทชฤทัย คล่องคำนวณการ

2. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมรสกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (หย่า14 พ.ย.2551 ใช้นามสกุลเดิม ดามาพงศ์ 8 ธ.ค.2551) (บุตรของ พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์) มีบุตร-ธิดา 3 คน
นายพานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค)
น.ส.พินทองทา ชินวัตร (เอม)
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (อิ้ง)

3. นางเยาวเรศ ชินวัตร สมรสกับนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์ (หย่า) มีบุตร-ธิดา 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน
น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ (แซน)
นายรัตนะ วงศ์นภาจันทร์(ซัน)
นายธนวัต วงศ์นภาจันทร์(ซูน)

4. นางปิยนุช ลิ้มพัฒนาชาติ

5. นายอุดร ชินวัตร (เสียชีวิต)

6. นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (แดง) สมรสกับ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีบุตร-ธิดา 3 คน
นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ (เชน)
น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์(เชียร์)
น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ (เชอรี่)

7. นายพายัพ ชินวัตร สมรสกับพอฤทัย มีบุตรชาย 4 คน
นายฤภพ ชินวัตร (ไนท์)
นายพิรุณ ชินวัตร (นิกกี้)
นายพอพงษ์ ชินวัตร(ต๋อง)
นายพีรพัฒน์ ชินวัตร

8. นางมณฑาทิพย์ โกวิทเจริญกุล (แป๋ว) เดิมชื่อ เยาวมาลย์ สมรสกับ นพ.สมชัย โกวิทเจริญกุล มีธิดา   2 คน

9. นายทัศนีย์ ชินวัตร (แป๋ม) เสียชีวิต

10. นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ปู) สมรสกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร (ป๊อป) ปี 2538 มีบุตรชาย 1 คน
ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร (ไปป์) เกิดเมื่อปี 2545


ประวัติการศึกษา :

2533 : ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา
2531 : ปริญญาตรี จาก คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ :

- กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิไทยคม
- กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเซท
2545 : กรรมการผู้อำนวยการ ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส)

ที่มา http://www.zonezeed.com/ForumId-10502-ViewForum.aspx

 
S'mindly © 2012 | Designed by Meingames and Bubble shooter